วันอาทิตย์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2554

สะพานสารสิน



สะพานสารสินเป็นสะพานที่สร้างข้ามช่องปากพระเพื่อเชื่อมระหว่างเกาะภูเก็ตตรงบริเวณท่าฉัตรไชยกับท่านุ่น จังหวัดพังงามีความยาวทั้งหมด 660 เมตรเป็นทางผิวคอนกรีต 360 เมตร ตัวสะพานคอนกรีตอัดแรงยาว 300 เมตร กว้าง 11 เมตร เป็นทางรถวิ่งกว้าง 8 เมตร ทางเท้าข้างละ 1.5 เเมตร กรมทางหลวงเป็นผู้รับผิดชอบการก่อสร้าง เริ่มดำเนินการตามนโยบายในปี พ.ศ. 2494 โดยเปิดให้บริษัทรับเหมาก่อสร้าง แต่ปรากฏว่าการก่อสร้างในระยะเริ่มต้นมีปัญหาเพราะความไม่ชำนาญการ ต่อมาในปี พ.ศ. 2508 จึงได้เริ่มลงมือก่อสร้างอีกครั้งโดยบริษัท Cristiani & Nelson(Thailand) Ltd.จนสำเร็จสามารถ เปิดใช้ได้เมื่อ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2510 สิ้นงบประมาณ 28,770,000 บาท สะพานนี้ให้ชื่อตามนามสกุลของนายพจน์ สารสิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาการแห่งชาติในขณะนั้น

?????สะพานสารสินเป็นที่รู้จักทั่วประเทศ เมื่อมีโศกนาฏกรรมของหนุ่มสาว 2 คนที่ตัดสินปัญหาด้วยการใช้ผ้าขาวม้าผูกต่อกันทัดตัวเองกระโดดจากกลางสะพานลงสู่พื้นน้ำในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2516 และได้นำเรื่องราวของคนทั้งสองมาสร้างเป็นภาพยนตร์ชื่อ"สะพานรักสารสิน" และต่อมาก็มีการสร้างสะพานเทพกระษัตรี เป็นสะพานที่สองที่เชื่อมระหว่างเกาะภูเก็ตกับพังงา คู่ขนานกับสะพานสารสิน สามารถย่นระยะทางได้หลายกิโลเมตรทีเดียวได้ก่อสร้างหลังจากสะพานสารสินเปิดใช้มา 30 ปี ปัจจุบันนี้ สะพานสารสินได้กำหนดให้ใช้เป็นสะพานขาออกจากจังหวัดภูเก็ต ส่วนสะพานเทพกระษัตรีเป็นสะพานที่รถใช้ ้เดินทางเข้ามาจากจังหวัดพังงา ซึ่งในตอนนี้ผู้ที่ผ่านไปมาระหว่างจังหวัดภูเก็ตและจังหวัดพังงาจะสังเกตุเห็นว่าได้มีการสร้างสะพานสารสิน 2 ซึ่งกรมทางหลวงได้รับการจัดสรรงบประมาณจากรัฐบาลในปีงบประมาณ 2552 จำนวน 377 ล้านบาท เพื่อก่อสร้างสะพานสารสิน 2 ทดแทนสะพานสารสินเดิมที่ก่อสร้างมานานถึง 52 ปี แล้ว ทำให้อยู่ในสภาพที่เก่า ประกอบกับสะพานสารสินที่ใช้งานอยู่ในขนาดนี้เรือขนาดใหญ่ไม่สามารถที่จะลอด ผ่านได้ ทางกรมทางหลวงจึงได้ออกแบบสารสิน 2 ขึ้น เพื่อของบประมาณจากรัฐบาลมาดำเนินการก่อสร้าง

โดยสะพานสารสิน 2 นี้ เป็นสะพานที่สร้างอยู่ในระดับแนวเดียวกับสะพานเทพกระษัตรี มีความยาว 650 เมตร กว้าง 12 เมตร เป็นสะพาน 2 ช่องทางจราจร ใช้สำหรับขาออกจากเกาะภูเก็ต
โดยได้เริ่มก่อสร้างสะพานดังกล่าวแล้ว โดยได้มีการเซ็นสัญญาก่อสร้างไปเมื่อวันที่ 30 มิ.ย.52 นี้ ใช้เวลาในการก่อสร้าง 720 วัน หรือประมาณ 2 ปี โดยทางบริษัทอิตาเลียนไทย ดีเวลล็อปเม้นท์ จำกัด (มหาชน)

?????ภายหลังจากที่สะพานสารสิน 2 ก่อสร้างแล้วเสร็จ สะพานสารสินเดิมที่ใช้อยู่ในขณะนี้จะไม่มีการทุบทิ้งแต่อย่างใด จะปรับปรุงเป็นจุดชมวิวและแหล่งท่องเที่ยว เนื่องจากเป็นสะพานที่เก่าแก่อยู่คู่กับเกาะภูเก็ตและสามารถมองเห็นวิวได้ อย่างสวยงาม พร้อมทั้งจะมีการยกระดับของสะพานสารสินเดิมใน 2 ช่องกลางให้เท่ากับสะพานสารสินใหม่ เพื่อให้เรือขนาดใหญ่สามารถลอดผ่านได้

วันอาทิตย์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ไวน์


ไวน์ (อังกฤษ: wine; ฝรั่งเศส: vin) คือ เมรัยอันผลิตจากน้ำองุ่น แต่ก็อาจใช้กับเครื่องดื่มที่ทำจากน้ำผลไม้อื่นเช่นกัน ไวน์เป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งเกิดจากการหมักน้ำตาลในองุ่น แบ่งออกเป็น 2 ชนิดใหญ่ ๆ คือ ไวน์ขาว (White wine) หรือ (vin blanc) และ ไวน์แดง (Red wine) หรือ (vin rouge) ไวน์ที่ได้จากการผสมระหว่างไวน์ 2 ชนิดเรียกว่า ไวน์สีชมพู (Rosé หรือว่า Pink wine) [ rosé แปลว่าสีชมพู ถ้าใช้กับ wine เรียกว่า rosé ไปเลยไม่ต้องเรียก vin rosé] ส่วนไวน์ที่มีการอัดก๊าซลงไป จะเรียกว่า สปาร์กลิงไวน์ (Sparkling wine) สปาร์กลิงไวน์เป็นการเลียนแบบ แชมเปญ (Champagne)

เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่าไวน์เป็นเครื่องดื่มที่มีมาหลายพันปีแล้ว มีการค้นพบโถโบราณบรรจุเมล็ดองุ่นไร่ซึ่งมีอายุนับเนื่องขึ้นไปกว่า 8,000 ปี ก่อนคริสตกาล

นอกจากที่ประเทศอิหร่านแล้ว ยังมีการพบร่องรอยของเครื่องดื่มชนิดหนึ่งที่ได้จากกรรมวิธีการหมักแบบเดียวกับไวน์ในสมัย 7,000 ปีก่อนคริสตกาล ทางตอนเหนือของประเทศจีน

ในยุคอียิปต์โบราณ การเพาะปลูกองุ่นเพื่อทำไวน์มีการดำเนินการอย่างเป็นระบบระเบียบมาก เทพต่าง ๆ ในตำนานเทพปกรณัม ทั้งโอซิริสของอียิปต์ เทพไดโอนีซุสของกรีก บัคคัสของโรมัน หรือกิลกาเมชของบาบิโลน ล้วนแล้วแต่เป็นเทพแห่งไวน์ นอกจากนั้น ไวน์ยังเป็นสัญลักษณ์ของพระโลหิตของพระเยซูเจ้าตามความเชื่อทางศาสนาคริสต์ ไวน์มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเป็นอันมากในช่วงสองร้อยปีหลัง ชาวโรมันในสมัยก่อนนั้นดื่มไวน์ที่มีรสฉุนจนต้องผสมน้ำทะเลก่อนดื่ม รสชาติของไวน์ดังกล่าวแตกต่างจากไวน์ในปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง

ในสมัยศตวรรษที่ 19 ไวน์ถือว่าเป็นเครื่องดื่มบำรุงกำลัง โดยคนงานที่รับจ้างเก็บเกี่ยวพืชผลจะดื่มไวน์ถึงวันละ 6-8 ลิตร และนายจ้างจะจ่ายไวน์ให้เป็นส่วนหนึ่งของค่าแรง เพราะสมัยนั้นน้ำยังไม่ค่อยสะอาดพอที่จะนำมาดื่มได้

[แก้] ส่วนประกอบของไวน์ส่วนประกอบส่วนใหญ่ของไวน์คือแอลกอฮอล์ที่ละลายในน้ำ และส่วนผสมทางเคมีอื่น ๆ อีกมากมายไม่ว่าจะเป็นสารระเหยและสารไม่ระเหย ทั้งสารละลายและสารแขวนลอย ปกติแล้ว ปริมาณของแอลกอฮอล์จะอยู่ระหว่าง 9-15 เปอร์เซ็นต์ต่อปริมาณน้ำ 85 เปอร์เซ็นต์

แอลกอฮอล์ในไวน์ส่วนใหญ่เป็นเอทิลแอลกอฮอล์ และยังพบตัวทำละลายประเภทกลีเซอรอล ซอร์บิทอล และบูตีแลนกลีคอลด้วย

นอกจากนั้น ไวน์ยังประกอบด้วย

น้ำตาลชนิดต่าง ๆ ทั้งกลูโคส ฟรุคโตส ในปริมาณที่แตกต่างกันไป ตั้งแต่ 1-2 กรัมต่อลิตร ในดรายไวน์ที่หมักจนน้ำตาลกลายเป็นแอลกอฮอล์แล้ว จนถึง 50-60 กรัมต่อลิตร ในไวน์หวานที่กระบวนการหมักบ่มยังไม่สมบูรณ์
กรดต่าง ๆ ทั้งกรดมาลิก กรดซิตตริก กรดทาทาริก กรดอะซีติก กรดแลกติก กรดซัคซินิก
ส่วนผสมอื่น ๆ เช่น แทนนิน แอนโทซีอัน
รงควัตถุ (pigment) ต่างๆ เช่น แอนโทไซยานิน

การแบ่งประเภทไวน์

ในหลาย ๆ ประเทศจะแบ่งประเภทไวน์ตามพันธุ์ขององุ่นที่นำมาใช้เป็นวัตถุดิบ และในประเทศฝรั่งเศสมีการแบ่งประเภทไวน์ตามพื้นที่แหล่งผลิตหรือกรู (ฝรั่งเศส: cru) ผู้ผลิต และปีที่ผลิต

[แก้] พันธุ์องุ่น (ฝรั่งเศส: Cépage / อังกฤษ: Cultivar)พันธุ์องุ่นดำที่มีชื่อเสียงในการทำไวน์แดงหรือไวน์ชมพู ได้แก่

พันธุ์องุ่นหลักของเมืองบอร์โด (Bordeaux)
กาแบร์เน-โซวีญง (cabernet-sauvignon)
กาแบร์เน-ฟรอง (cabernet franc)
แมร์โลนัวร์ (merlot noir)
เปอตีแวร์โด (petit verdot)
โกตหรือมูร์แวด (cot or mourvede)
พันธุ์องุ่นหลักของแคว้นชองปาญ (Champagne)
ปีโนนัวร์ (pinot noir)
[ขาว] ปีโนเมอนีเย (pinot meunier)
[ขาว] ชาร์ดอเน (chardonnay)
พันธุ์องุ่นหลักของแคว้นบูร์กอญ (Bourgogne) [โบโชเล Beaujolais]
กาเมนัวร์ (gamay noir) หรือกาเมโฟรโอ (gamay freaux)
พันธุ์องุ่นหลักของแคว้นลองเกอด็อก-รูซียง (Languedoc Rousillon) [เวเดแอน: แวงดูนาตูแรล VDN: Vin Doux Naturel]
ซีรา (syrah)
เกรอนาช (grenache)
พันธุ์องุ่นหลักของรัฐแคลิฟอร์เนีย (California)
ซินฟันเดล (zinfandel) นำมาจากประเทศอิตาลี
พันธุ์ขาว องุ่นที่นิยมนำมาทำไวน์ขาวได้แก่

พันธุ์องุ่นหลักของเมืองบอร์โด (Bordeaux) [โซแตร์น, อ็องตร์-เดอ-แมร์, ลูปียัก Sauterne, Entre-deux-mer, Loupiac]
โซวีญงบล็อง (sauvignon blanc)
เซมียง (sémillon)
พันธุ์องุ่นหลักของแคว้นบูร์กอญ (Bourgogne) [ชาบลี, มาร์โซล Chablis, Marsault]
ชาร์ดอเน (chardonnay)
อาลีโกเต (aligoté)
พันธุ์องุ่นหลักของแคว้นเปอีเดอลาลัวร์ (Pays de la Loire) [วูเวร Vouvray]
เชอแนงบล็อง (chenin blanc)
พันธุ์องุ่นหลักของแคว้นอัลซาซ (Alsace)
เกเวือร์ซทรามีเนอร์ (gewürztraminer)
ปีโนกรี (pinot gris)
รีเอสลิง (riesling)
มุสกา (muscat)
ซีลวาเน (sylvaner)
อามีญ (amigne) (ในรัฐวาเล ประเทศสวิตเซอร์แลนด์)
ซาวาแญง (savagnin)
[แก้] พื้นที่คำว่า "กรู" (ฝรั่งเศส: cru) หมายถึงไวน์เฉพาะถิ่นที่ผลิตในพื้นที่ซึ่งกำหนดไว้ โดยพื้นที่แต่ละแห่งจะมีลักษณะแตกต่างกันไปตามสภาพแวดล้อม สภาพพื้นดิน สภาพอากาศ ซึ่งทำให้องุ่นที่ปลูกในพื้นที่นั้นๆ ให้รสชาติและลักษณะไวน์ที่เป็นลักษณะเฉพาะและเป็นที่รู้จักเพิ่มขึ้น ไวน์ของผู้ผลิตในประเทศต่าง ๆ (ออสเตรเลีย แอฟริกาใต้ ชิลี แคลิฟอร์เนีย - สหรัฐอเมริกา) สร้างความหลากหลายให้กับรสชาติไวน์ตามลักษณะของพื้นที่ผลิต (แสงแดด ความชื้น คุณภาพดิน)

ในฝรั่งเศส พื้นที่ผลิตมักจะสัมพันธุ์กับพันธุ์องุ่น โดยในพื้นที่หนึ่ง ๆ อาจจะปลูกองุ่นเพียงพันธุ์เดียว หรือหลายพันธุ์เป็นการเฉพาะ ตัวอย่างเช่น ไวน์มาดีรอง (ฝรั่งเศส: madiran) จากแถบเทือกเขาพีเรนีส จะทำจากองุ่นพันธุ์ตานา (ฝรั่งเศส: tannat) เท่านั้น

ผู้ผลิตจะตั้งชื่อไวน์ตามชื่อพื้นที่สำหรับไวน์บูร์กอญ (ฝรั่งเศส: Bourgogne) หรือเรียกในภาษาอังกฤษว่าเบอร์กันดี (อังกฤษ: Burgundy) ส่วนไวน์บอร์โด (ฝรั่งเศส: Bordeaux) ตั้งตามชื่อปราสาท (ฝรั่งเศส: châteaux - ชาโต)

[แก้] ปีที่ผลิต (ฝรั่งเศส: Millésime / อังกฤษ: Vintage)ปีที่ผลิต คือ ปีที่มีการเก็บองุ่นซึ่งนำมาใช้ทำไวน์นั้น ๆ เป็นตัวบ่งบอกถึงลักษณะอากาศในปีต่าง ๆ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของคุณภาพไวน์ โดยปกติผู้ผลิตจะเขียนชื่อปีที่ผลิตไว้บนฉลาก กฎหมายของสหภาพยุโรปไม่ได้กำหนดให้แจ้งปีที่เก็บเกี่ยวองุ่นที่ใช้ทำไวน์แต่อย่างใด

ชนิดของไวน์

ไวน์แดง (อังกฤษ: red wine)

ตัวอย่างไวน์แดงที่ได้รับความนิยม

บาโรโล (Barolo) - อิตาลี
บรูเนลโลดีมอนตัลชีโน (Brunello di Montalcino) - อิตาลี
โบโชเล (Beaujolais) - ฝรั่งเศส
บอร์โด (Bordeaux) - ฝรั่งเศส
บูร์กอญ (Bourgogne) หรือบูร์กันดี (Burgundy) - ฝรั่งเศส
กาแบร์เนโซวีญง (Cabernet Sauvignon) - ฝรั่งเศส แคลิฟอร์เนีย ออสเตรเลีย มอลโดวา แอฟริกาใต้
การ์เมเนเร (Carmenere) - ชิลี
กีอันตี (Chianti) - อิตาลี
แมร์โล (Merlot) - ฝรั่งเศส แคลิฟอร์เนีย วอชิงตัน ชิลี แอฟริกาใต้
ปีโนนัวร์ (Pinot Noir) - ฝรั่งเศส แคลิฟอร์เนีย ออริกอน แอฟริกาใต้
พิโนเทจ (Pinotage) - แอฟริกาใต้
เรียวคา (Rioja) - สเปน
ซีรา/ชีรัซ (Syrah/Shiraz) - ฝรั่งเศส ออสเตรเลีย แคลิฟอร์เนีย แอฟริกาใต้
วัลโปลีเชลลา (Valpolicella) - อิตาลี
ซินฟันเดล (Zinfandel) - แคลิฟอร์เนีย
[แก้] ไวน์ขาว (White wine)ผลิตจากองุ่นขาวหรือองุ่นแดงแต่เอาเฉพาะน้ำองุ่น แบ่งออกเป็นหลายชนิด

ไวน์ขาวอ่อน (Vin Blanc Tranquille or Doux)
ไวน์ขาวแห้ง (Vin Blanc Sec or Demi-sec)
ไวน์ขาวหวาน (VDN, Porto, Xeres)
ไวน์ขาวอัดก๊าซ (Champagne, Vouvrey)
ลิเกอร์จากองุ่นขาว (Cognac, Armagnac, Pineau)
ตัวอย่างไวน์ขาวที่ได้รับความนิยม

ชาร์ดอเน (Chardonnay) - ฝรั่งเศส แคลิฟอร์เนีย ออสเตรเลีย แอฟริกาใต้
ชาบลี (Chablis) - ฝรั่งเศส
เชอแนงบล็อง (Chenin Blanc) - แอฟริกาใต้ ฝรั่งเศส
ฟรัสกาตี (Frascati) - อิตาลี
เกเวือร์ซทรามีเนอร์ (Gewürztraminer) - ฝรั่งเศส เยอรมนี แอฟริกาใต้
ลีบเฟรามิลค์ (Liebfraumilch) - เยอรมนี
ออร์วีเอโต (Orvieto) - อิตาลี
ปีโนกรี/ปีนอตกรีโจ (Pinot Gris/Pinot Grigio) - ฝรั่งเศส อิตาลี ออริกอน
ปุยยี-ฟุยเซ (Pouilly-Fuissé) - ฝรั่งเศส
รีสลิง (Riesling) – ฝรั่งเศส เยอรมนี
โซวีญงบล็อง (Sauvignon Blanc) - ฝรั่งเศส แคลิฟอร์เนีย นิวซีแลนด์ แอฟริกาใต้
เซมียง (Sémillon) - แอฟริกาใต้
โซอาเว (Soave) - อิตาลี
แวร์ดิกกีโอเดย์กัสเตลลีดีเจซี (Verdicchio dei castelli di Jesi) - อิตาลี
[แก้] สปาร์กลิงไวน์ (Sparkling wine)เป็นไวน์ชนิดมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อัดอยู่

ตัวอย่างสปาร์กลิงไวน์ที่ได้รับความนิยม

อัสตีสปูมันเต (Asti spumante) - อิตาลี
กาบา (Cava) - สเปน
แชมเปญ/ชองปาญ (Champagne) - ฝรั่งเศส สปาร์กลิงไวน์ที่ผลิตขึ้นที่แคว้นนี้เท่านั้นจึงจะได้รับอนุญาตให้ใช้ชื่อว่า แชมเปญ
ฟรันชากอร์ตา (Franciacorta) - อิตาลี
โปรเซกโก (Prosecco) - อิตาลี
เซคท์ (Sekt) - เยอรมัน
สปาร์กลิงไวน์ (Sparkling wine) – แคลิฟอร์เนีย ออริกอน วอชิงตัน นิวเม็กซิโก
[แก้] ไวน์สีกุหลาบ (rosé)บูซุยโออาตซะเดโบโฮติน (Busuioacă de Bohotin) : โรมาเนีย
ลาเกรนโรซาโต (Lagrein Rosato) : อิตาลี
โรเซ (Rosé) : ออสเตรเลีย ฝรั่งเศส โปรตุเกส แอฟริกาใต้ สเปน สหรัฐอเมริกา ตุรกี

วันจันทร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

งานนมัสการองค์พระปฐมเจดีย์


เทศกาลงานนมัสการองค์พระปฐมเจดีย์ ปี 53

นครปฐม-จังหวัดนครปฐมเตรียมจัดงานเทศกาลนมัสการองค์พระปฐมเจดีย์ ปี 2553 ระหว่างวันที่ 18 - 26 พฤศจิกายน 2553 รวมงาน 9 วัน 9 คืนภูมิหลัง
งานนมัสการองค์พระปฐมเจดีย์เริ่มมีมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ หลังจากที่โปรดเกล้าฯ ให้บูรณปฏิสังขรณ์องค์พระปฐมเจดีย์ครั้งใหญ่แล้ว ยังให้ขุด "คลองเจดีย์บูชา" ตั้งแต่บ้านท่านามาจนถึงกลางเมืองนครปฐม เพื่อใช้เป็นเส้นทางมานมัสการองค์พระปฐมเจดีย์อีกด้วย ในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้โปรดเกล้า ให้ดำเนินการปฏิสังขรณ์องค์พระปฐมเจดีย์สืบต่อมา และงานนมัสการองค์พระปฐมเจดีย์ก็จัดขึ้นเป็นประจำ
สำหรับการจัดงานเทศกาลนมัสการองค์พระปฐมเจดีย์ ปี 2553 ในปีนี้

พระธรรมปริยัติเวที เจ้าอาวาสวัดพระปฐมเจดีย์ ราชวรมหาวิหาร ประธานจัดงานเทศกาลนมัสการ องค์พระปฐมเจดีย์ ปี 2552 กล่าวว่า องค์พระปฐมเจดีย์ วัดพระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม เป็นปูชนียสถาน ที่สำคัญยิ่งเป็นศูนย์รวมแห่งสถาบันสำคัญทั้งสาม คือสถาบันชาติ สถาบันพระพุทธศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ไว้เป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นพระเจดีย์ที่ก่อสร้างขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช มีอายุนับพันปีภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นที่เคารพบูชาของพุทธศาสนิกชนทั่วโลก ครั้งโบราณได้กำหนดการจัดงานเทศกาลนมัสการองค์พระปฐมเจดีย์ ในวันเพ็ญกลางเดือน 12 เป็นประจำทุกปี ประเพณีสืบทอดตลอดมาจนถึงปัจจุบันนี้ เพื่อจะได้บูชาพระบรมสารีริกธาตุ ประหนึ่งมาเฝ้าอยู่เบื้องพระยุคลบาทแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงนับว่าเป็นบุญลาภอันประเสริฐ สุด และอีกประการหนึ่งก็เพื่อจะได้ช่วยกันบริจาคเงินสมทบทุนไว้บูรณปฏิสังขรณ์องค์พระปฐมเจดีย์ให้ยืนยงคงอยู่ตลอดไป

วันจันทร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2554

เอดวิน พาวเวลล์ ฮับเบิล



อ็ดวิน พาเวลล์ ฮับเบิล (อังกฤษ: Edwin Powell Hubble; 20 พฤศจิกายน ค.ศ. 1889 - 28 กันยายน ค.ศ. 1953) นักดาราศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งในศตวรรษที่ 20 ศึกษารายละเอียดของดาวฤกษ์แต่ละดวงในกาแล็กซี เอ็ม 33 ซึ่งเป็นกาแล็กซีเพื่อนบ้าน พบว่าดาวฤกษ์เหล่านี้อยู่นอกกาแล็กซี่ของเราออกไป หลังจากที่ฮับเบิลได้พิสูจน์ว่ามีกาแล็กซีอื่นอีกจำนวนมาก เขายังได้พิสูจน์อีกว่า กาแล็กซีเหล่านี้ กำลังเคลื่อนที่ห่างออกไป

เมื่อกาแล็กซีอื่นเคลื่อนที่ห่างออกไปหรือเคลื่อนที่เข้าหากาแล็กซีของเรา แสงที่สังเกตเห็นจากกาแล็กซีเหล่านี้ จะเป็นสีอื่นที่แตกต่างไปจากตอนที่ยังไม่ได้เคลื่อนที่

ถ้ากาแล็กซีเคลื่อนที่ห่างออกไปจะปรากฏมีสีแดงขึ้น เรียกว่า กาแล็กซีมีการเขยื้อนไปทางสีแดงหรือ "เรดชิฟต์" (redshift) ถ้าเคลื่อนที่เข้าหาเรา กาแล็กซีจะปรากฏมีสีน้ำเงินขึ้น เรียกว่า เขยื้อนไปทางสีน้ำเงินหรือ "บลูชิฟต์" (blueshift) ปรากฏการณ์เปลี่ยนสีนี้ เรียกว่า ปรากฏการณ์ดอปเปลอร์

ฮับเบิลใช้ปรากฏการณ์ดอปเปลอร์วัดความเร็วของกาแล็กซีต่างๆ และค้นพบความสัมพันธ์เหลือเชื่อที่ว่า กาแล็กซียิ่งอยู่ไกลยิ่งเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงขึ้น นั่นคือเขาค้นพบว่า อัตราเร็วของกาแล็กซีเป็นปฏิภาคโดยตรงกับระยะห่าง ปัจจุบันเรียกว่า กฎของฮับเบิล กฎนี้แสดงว่าเอกภพทั้งหมดกำลังมีขนาดโตขึ้น

อนึ่ง ภาพถ่ายแรกที่ได้จากกล้องฮับเบิล ถูกเปรียบเทียบเป็นภาพโมนาลิซ่าแห่งวงการดาราศาตร์

Mediterranean Salad

Mediterranean Salad
Salade nicoise
What is Salade Nicoise?
A combination of tomatoes, potatoes, anchovy, tuna and lettuce, typical of the South of France. A perfect summer dish.





Region Prep time / Cooking time
Cote d'Azur, Riviera


10 min / none


Ingredients
4 tomatoes
1 lettuce
3 cups potatoes (medium-sized)
3 cups green beans
1 cup canned tuna
6 anchovy fillets
2 eggs
1/2 cup black olives
2 tb fresh green herbs
1 cup french dressing





Mediterranean Salad Recipe serve 6

Step 1: Boil the potatoes for 15 minutes or until ready, peel them and cut them in quarter. Boil the green beans for 15 to 20 minutes.

Step 2: Wash, drain and separate the lettuce leaves. Boil the eggs, peel them and cut them in quarter. Drain the anchovies and tuna. Quarter the tomatoes.

Step 3: Seasons the tomatoes and beans with french dressing.

Step 4: Season the lettuce leaves. Place them around a bowl.

Step 5: Arrange the potatoes in the bottom of the bowl.

Step 6: Decorate with the beans, tomatoes, tuna, anchovies. eggs, black olives.

Step 7: Pour in the remaining french dressing. Sprinkle with herbs.

Wine suggestion: Rosé Cotes de Provence (French Wine Guide).

Bon appetit!

Coq au Vin

What is Coq au Vin?
Cock cooked in red wine, traditionally a cock from Bresse and a wine from Burgundy. The older the poultry is, the better your Coq au vin will be.



Region Prep time / Cooking time
Burgundy


A day before + 30 min / 1 hour


Ingredients
Ideally a rooster, or 1 or 2 chickens (1.5kg, 3.5 lb), cut into 8 pieces or more
1/2 bottle of full-body Burgundy red wine (or Cotes du Rhone)
6 bacon slices (5 oz), diced
0.5 lb (250g) button mushrooms
A dozen small white onions
2-3 cloves of garlic, mashed
2 carrots, peeled and quartered
Sunflower oil, unsalted butter
Bouquet of herbs: 2 sprigs of thyme and 1 bay leaf, tied all together with string
Parsley
Salt and pepper

If cooking the same day, add:
1/4 cup of cognac or brandy




Coq au Vin Recipe serve 6

Step 1: A day in advance, clean and cut the rooster/chicken in 8 pieces or more. Pour half a bottle of red Burgundy wine over.

Step 2: Add the small white onions, the quartered peeled carrots and the herbs. Cover and put in the fridge.

Step 3: The next day, remove and drain the chicken and vegetables. Put the wine aside for later use.

Step 4: Brown the chicken pieces with oil in a skillet. Remove the chicken. Using the same skillet, add garlic to the vegetables and heat for a couple of minutes

Step 5: Put the chicken and the vegetables in a large sauce pan. Pour the wine and add salt and pepper

Step 6: Bring to a boil at moderate heat.

Step 7: Cover and cook at low heat for 1 or 2 hours

Step 8: Heat bacon, onion and mushrooms in a skillet until brown (10 minutes)

Step 9: When the chicken is ready, add bacon, onion and mushrooms in the pan, cook and stir for 2 or 3 minutes. Taste and correct the seasoning,

Step 10: Add parsley to the chicken when finish. Prepare rice or potatoes to serve with Coq au vin.

Alternate version for cooking the same day:
In step 5, do not pour the wine in the pan now. Pour instead cognac or brandy over the chicken. Ignite the spirit with a match. Be extra careful the heat is off and your face away. Shake the pan for a few seconds. You can now pour the wine in the pan and follow the recipe as indicated.

Wine suggestion: red Burgundy wine, or Cotes du Rhone red, Morgon (French Wine Guide).

Bon appetit!

วันอาทิตย์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

แกะรอย"อาถรรพ์"แก่งกระจาน"โศกนาฏกรรม"เฮลิคอปเตอร์-แบล็กฮอว์กตก


ภายหลังเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน หลังจากส่วนหัวเครื่องเฮลิคอปเตอร์ รุ่น ยูเอช-1 เอช (ฮิ้วอี้) ตกในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ขณะบินเข้าไปรับเจ้าหน้าที่ชุดลาดตระเวนที่ยังตกค้างอยู่ในป่า หลังจากเข้าไปปฏิบัติภารกิจกวาดล้างชนกลุ่มน้อยที่เข้ามาทำลายต้นไม้แล้วมีผู้เสียชีวิตถึง 5 คน ล่าสุดเฮลิคอปเตอร์แบบแบล็กฮอว์ก ที่เข้าไปช่วยเหลือก็มาตกซ้ำอีกรอบ เกิดอะไรขึ้นหลังโศกนาฏกรรมในการสูญเสียบุุคลากรชั้นยอดของประเทศไทย ไทยรัฐออนไลน์รวบเหตุการณ์ที่ว่ากันว่าเป็นอาถรรพ์ของที่แห่งนี้...???

อาถรรพ์แรก - ตามหาศีรษะไม่พบเฮลิคอปเตอร์บินขึ้นไม่ได้

อาถรรพ์นี้ถูกกล่าวขานกันมากมาย โดยเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 19 ก.ค. ซึ่งเป็นวันที่ 4 หลังจากทหารหน่วย ฉก.ทัพพระยาเสือ กองพล ร.9 เข้าไปลำเลียงศพทหารทั้ง 5 นาย ออกมาจากเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี มีรายงานว่า สภาพที่ความสูญเสียที่เห็นนั้น พบซากเฮลิคอปเตอร์สภาพส่วนหัวชนเสียบคาผนังหิน ต่ำจากยอดเขาเพียง 10 เมตรเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีร่องรอยการเผาไหม้ในรัศมี 10 เมตร ด้วยการปะทะอย่างแรงทำให้เกิดการระเบิดและมีเพลิงลุกไหม้อีกด้วย
ด้านสภาพของลูกเรือที่โดยสารมาทั้งหมด 5 นายถูกเผาไหม้ดำเป็นตอตะโก หนึ่งใน 5 ศพนั้นคาดว่ายังไม่เสียชีวิตทันที ส่วนอีก 4 ศพ ร่างติดคาซากเครื่อง บางศพเหลือเพียงกระดูกเท่านั้น และยังมีอยู่ 1 ศพที่ไม่สามารถหาศีรษะพบ
นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน เผยเรื่องลี้ลับก่อนขึ้น ฮ.ว่า ได้เกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้นกับตัวเองและคณะผู้สื่อข่าวในระหว่างที่เฝ้ารอให้อากาศเปิดอยู่ในป่า ใกล้จุดเกิดเหตุ เนื่องจากตนมีลางสังหรณ์ ที่เป็นเรื่องของความเชื่อของคนที่อยู่กับป่ามาตลอด

"ขณะที่ผมเข้าไปในที่เกิดเหตุครั้งแรก เห็นศพศพหนึ่งไม่มีศีรษะ อาจจะเป็นเรื่องทางไสยศาสตร์ ที่หากค้นหาชิ้นส่วนของศพไม่ครบ ก็จะทำให้ไม่สามารถนำศพออกมาได้ทั้งหมด ด้วยการเกิดอุปสรรคต่างๆ เช่น การนำ ฮ.เข้าพื้นที่ ดังนั้นผมจึงวิทยุสั่งให้ค้นหาให้เจอในที่สุด เมื่อเจ้าหน้าที่สามารถหาพบก็เกิดเรื่องประหลาด โดยเมื่อตอนที่ยังไม่สามารถค้นหาศีรษะ ส่วนที่หาไปเจอได้เกิดฝนตกตรงจุดเกิดเหตุ และอากาศปิดมาตลอด แต่พอเจ้าหน้าที่วิทยุมาบอกกับตนว่าพบศีรษะแล้ว สภาพอากาศก็เปลี่ยนแปลงดีขึ้นทันที เรื่องนี้ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ และน่าจะเป็นนิมิตรหมายที่ดี ที่จะทำให้การปฏิบัติในครั้งนี้ประสบความสำเร็จได้"
อาถรรพ์ - ปักธูปไม่ลง

เรื่องนี้เกิดขึ้นขณะ พ.ต.ประพันธ์ เจียมสูงเนิน นักบินที่ 1 ประจำเครื่องแบล็กฮอว์ก พร้อมทหารจากกองร้อยลาดตระเวนระยะไกลที่ 9 กองพลทหารราบที่ 9 ได้จุดธูปไหว้เจ้าที่ สิ่งศักดิ์สิทธิ์และดวงวิญญาณของผู้เสียชีวิต ให้ดลบันดาลการปฏิบัติภารกิจนำศพ 5 ทหารออกมาจากฐานต้นน้ำเพชร สำเร็จลุล่วงด้วยดี แต่ทั้งหมดไม่สามารถปักธูปลงบนพื้นดินได้ ต้องเปลี่ยนอยู่หลายจุด จึงจะสามารถปักธูปได้ก็เป็นอีกเรื่องที่ถูกพูดถึง

อาถรรพ์ - พูดเป็นลาง

"ผมจะเดินทางไปด้วยตัวเอง เพื่อนำน้องๆ ผู้ประสบเหตุทั้ง 5 คน กลับมาให้ได้ภายในวันนี้" คือคำพูดของ พล.ต.ตะวัน เรืองศรี ผบ.พล.ร.9 ผู้นำทีมขึ้นแบล็กฮอว์ก และที่น่าแปลกอีกก็คือ พล.ต.ตะวัน นับเป็น ผบ.พล ร.9 คนที่ 2 ที่ประสบอุบัติเหตุ ฮ.ตก เพราะก่อนหน้านั้นเมื่อวันที่ 25 ก.พ. 43 พล.ต.สัญชัย รัชตะวรรณ ประสบอุบัติเหตุ ฮ.ตกและเสียชีวิตที่บ้านท่ามะนาว อ.เมืองกาญจนบุรี

นอกจากนี้ ยังมีคำพูดก่อน-หลังขึ้นเครื่อง ที่ถูกเปิดเผยในทำนองหยอกล้อกันว่า "ไม่ต้องกลัวเครื่องตก" หรือ "เครื่องไม่ตกหรอก" เป็นต้น จะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจพูดก็ตาม แต่คำพูดทำนองนี้โบราณเขาถือกัน

อาถรรพ์เจ้าป่า เจ้าป่าเซ่นสังเวย เวลาหยุดพักกินอาหาร

เรื่องการพิธีเปิด-ปิดป่าก็มีการพูดถึง นายพยัพ คำพันธุ์ เซียนพระเครื่องและเครื่องรางชื่อดัง และผู้เชี่ยวชาญเรื่องการเดินป่าให้ความรู้เรื่องการทำพิธีเปิดป่าแบบ "ฉบับโบราณ" ผ่านไทยรัฐออนไลน์ ว่า การเดินป่าทุกๆ ครั้งต้องทำพิธีเปิดป่าด้วยการจุดธูป 9 ดอก พร้อมกับอธิฐานขอให้เจ้าที่เจ้าทาง เจ้าป่า เจ้าเขา ผีเหย้า ผีเรือน เจ้าของที่ เจ้าของทาง ลูกขอเปิดป่า ถ้าหากลูกทำผิดสิ่งใดสิ่งหนึ่งก็ตามแต่ ขอกราบ ขอขมาไว้ ณ ที่นี้ด้วย แล้วก็กลั้นใจเอามีดทิ่มดินแล้วก็พลิกดินขึ้นมา 3 ครั้ง พร้อมกับพลิกใบไม้ทั้งสด-แห้งที่ตกอยู่ข้างๆ ให้จับหงายขึ้นมาให้หมด

ส่วนพิธีปิดป่าเมื่อเราทำภารกิจเดินป่าเสร็จแล้วก็ต้องนำดินที่พลิกขึ้นมาแล้วใบไม้ที่เราจับพลิกปิดเอาไว้อย่างเดิม นี่กรณีเราเดินออกมาทางเดิม แต่ถ้าเดินออกจากป่าอีกด้านหนึ่งก็ยกมือไหว้บอกเล่าและขอขมาเจ้าป่าธรรมดา
"แต่หากไม่มีธูปเทียน ก็สามารถหักกิ่งไม้แห้งที่อยู่บริเวณนั้น อธิฐานและปักกิ่งไม้เอาไว้ หลังจากนั้นก็นำมีดทิ่มดิน 3 ครั้ง แล้วก็พลิกใบไม้ทั้งสดและแห้งบริเวณนั้นเป็นอีกด้านหนึ่งด้วย เรื่องแบบนี้พูดไปไม่เชื่ออย่าลบหลู่ เพราะว่าป่าทุกๆ ป่า กระเหรี่ยงและชาวเขาเขาทำพิธีโบราณแบบนี้เพื่อป้องกันตัวเองทั้งหมด" พยัพ กล่าว

นอกจากนี้ เรื่องเวลาหยุดพักรับประทานอาหาร พรานหลายคนก็แนะนำว่าจะต้องแบ่งอาหารส่วนหนึ่งใส่ใบไม้ถวายเจ้าป่าเจ้าเขาและบรรดาผีป่าผีดงทั้งหลาย เป็นการแสดงความคารวะตามประสาผู้มาเยือนที่ดี หรืออีกนัยหนึ่งก็คือช่วยคนเดินป่าให้เกิดความรู้สึกสบายใจ เพราะได้กระทำถูกต้องตามทำนองคลองธรรมแล้ว ไม่ได้ละเมิดหรือดูหมิ่นดูแคลนแต่อย่างใด
หากมีการล่าสัตว์ พรานอาจจะตัดเนื้อสัตว์ที่ล่าได้ส่วนหนึ่งวางไว้ในที่อันควร เพื่อเป็นการถวายแต่เจ้าป่าเจ้าเขา พรานสมัยก่อนจะล่าสัตว์และตัดไม้เท่าที่มีความจำเป็นสำหรับเลี้ยงชีพเท่านั้น ไม่ใช่ตัดเหี้ยนไปหมดจนแทบจะสูญพันธุ์เหมือนอย่างวันนี้

ขณะเดียวกัน ฟากโหราศาสตร์ยังมีการพูดถึงดาวอังคาร ที่ถือว่าเป็นดาวทหารจะมีการสูญเสียจากเครื่องยนต์กลไกขัดข้อง หรือแม้กระทั่งดวงของคนที่เสียชีิวิตชุดแรกมีเข้าเคราะห์แทบจะทุกคน ดังนั้นเมื่อคนมีเคราะห์มาอยู่่รวมกันมากๆ ก็เกิดเหตุดังกล่าวขึ้น ส่วนเรื่องฮวงจุ้ยหรือชัยภูมิที่เขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จ.เพชรบุรีนั้น ก็มีการกล่าวขานกันมากว่า ลักษณะคล้ายกับความอาถรรพ์ของ "สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า" แต่ก็ยังไม่มีใครออกมาการันตีข้อมูลนี้


สุดแล้วเหนืออื่นใด ไม่ว่าหลังจากนี้ผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไร ขอให้ทุกๆ คนรู้ว่าคนไทยทั้งประเทศกำลังนั่งภาวนาส่งกำลังใจไปช่วยเหลือแน่นอน!!!

วันอาทิตย์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ดอกทิวลิป




ทิวลิป เป็นดอกไม้เมืองหนาวที่มีถิ่นกำเนิดในทวีปยุโรป เป็นดอกไม้สัญลักษณ์ของฮอลแลนด์ มีอยู่หลายสี ดอกทิวลิปจะปลูกได้
ต้องใช้อุณหภูมิที่เหมาะสม คือไม่เกิน 25 องศาเซลเซียสแม้ว่าทิวลิปจะเป็นดอกไม้ที่ทำให้นึกถึงฮอลแลนด์ แต่ทั้งดอกไม้และชื่อมีที่มาจากจักรวรรดิเปอร์เชีย ทิวลิปหรือ “lale” (จากเปอร์เชีย لاله, “lâleh”) เช่นเดียวกับที่เรียกกันในตุรกี เป็นดอกไม้ท้องถิ่นของตุรกี, อิหร่าน, อัฟกานิสถาน และบางส่วนของเอเชียกลาง แม้ว่าจะไม่ทราบว่าผู้ใดเป็นผู้นำทิวลิปเข้ามาทางตะวันตกเฉียงเหนือ ของยุโรปแต่ที่สำคัญคือตุรกีเป็นผู้ทำให้ทิวลิปมีชื่อเสียงที่นั่น เรื่องที่เป็นที่ยอมรับกันก็คือ Oghier Ghislain de Busbecqไปเ ป็นราชทูตของสมเด็จพระจักรพรรดิเฟอร์ดินานด์ที่ 1 แห่งโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ในราชสำนักของสุลต่านสุลัยมานมหาราชแห่งจักรวรรดิออตโตมันในปี ค.ศ. 1554 Busbecq บรรยายในจดหมายถึงดอกไม้ต่างๆ ที่เห็นที่รวมทั้งนาร์ซิสซัส ดอกไฮยาซินธ์ และทิวลิปที่ดูเหมือนจะบานในฤดูหนาวที่ดูเหมือนผิดฤดู (ดู Busbecq, qtd. in Blunt, 7) ในวรรณคดีเปอร์เชียทั้งสมัยโบราณและสมัยใหม่ต่างก็ให้ความสนใจกับดอกไม้ชนิดนี้



คำว่า “tulip” ที่ในภาษาอังกฤษสมัยแรกเขียนเป็น “tulipa” หรือ “tulipant” เข้ามาในภาษาอังกฤษจากฝรั่งเศสที่แผลงมาจากคำว่า “tulipe” และจากคำโบราณว่า “tulipan” หรือจากภาษาลาตินสมัยใหม่ “tulīpa” ที่มาจากภาษาตุรกี “tülbend” หรือ “ผ้ามัสลิน” (ภาษาอังกฤษว่า “turban” (ผ้าโพกหัว) บันทึกเป็นครั้งแรกในภาษาอังกฤษในคริสต์ศตวรรษที่ 16 และอาจจะมาจากภาษาตุรกีอีกคำหนึ่งว่า “tülbend” ก็ได้)

วันอาทิตย์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ดอกเหลืองปรีดียาธร



ชื่อพื้นเมืองอื่น: ตาเบบูยาเหลือง
ชื่อสามัญ : Silver trumpet tree, Tree of gold, Paraguayan silver trumpet tree ...
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Tabebuia argentea Britt
วงศ์: BIGNONIACEAE
ถิ่นกำเนิด: อเมริกากลางและหมู่เกาะอินดีสตะวันตก

ประเภท: ไม้ยืนต้นขนาดเล็ก สูงไม่เกิน 8 เมตร เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบ เรือนยอดรูปไข่ เปลือกต้นสีน้ำตาล แตกเป็นร่องขรุขระ ลักษณะเป็นไม้เนื้ออ่อน กิ่งก้านเปราะหักง่าย แตกกิ่งก้านเป็นชั้น โตช้า เจริญเติบโตได้ดีในดินร่วน ระบายน้ำดี แดดจัด

ใบ: เป็นใบประกอบประกอบด้วยใบย่อย 5 ใบ ลักษณะใบหนาแข็ง และมีขนนุ่ม มีสีเขียวอมขาวดอก: มีสีเหลืองสด ออกเป็นช่อๆ ละ 3-10 ดอก ลักษณะกลีบดอกติดกัน ก้านดอกเป็นหลอด ปลายแยกเป็น 5 กลีบ เมื่อดอกร่วงจะติดฝักและมีเมล็ด ขั้วดอกเหนียวและดอกจะร่วงยากกว่าเหลืองอินเดีย ดอกออกมากแต่ยังมีใบคงอยู่บนต้นมากไม่ร่วงหมดต้น ออกดอกเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม
ผล: เป็นฝัก ยาวประมาณ 10 เซนติเมตร สีเทา มีเส้นสีดำ

การขยายพันธุ์: ด้วยการเพาะเมล็ด และการตอน แต่การตอนจะโตได้เร็วกว่า
การดูแล: ปลูกง่าย เจริญเติบโตได้รวดเร็ว
ต้นไม้ตระกูลนี้ไม่ชอบน้ำมาก
ในช่วงเดือนมีนาคมนี้ ถ้าท่านขับรถพาครอบครัวไปเที่ยวหัวหิน ก็ยังมีดอกเหลืองปรีดียาธรให้ชมกันอย่างเต็มตาทีเดียว

วันจันทร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

"ยาลดความอ้วน"สารอันตราย



พิษภัย'ยาลดความอ้วน' นั้นยังมีให้เห็นต่อเนื่องในสังคมไทยเช่น โศกนาฏกรรมล่าสุดที่เกิดขึ้นกับน.ส.โชติมา จินตนาผลอายุ 16 ปี นักเรียนโรงเรียนวัดราชาธิวาส ซึ่งสั่งซื้อยาลดความอ้วนPAODY Slim Capsule กับ L-Carnitine Plus มารับประทานโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ความจริงจะเรียกผลิตภัณฑ์เหล่านี้ว่า 'ยา' คงไม่ได้

เพราะควรเรียกว่า 'สารลดความอ้วนซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพ' จะตรงประเด็นกว่า น่าวิตกที่ภายหลังจากข่าวการเสียชีวิตของน.ส.โชติมา เผยแพร่ไปทั่วประเทศ แต่สารลดความอ้วนทั้งสองชนิด ก็ยังขายโจ่งแจ้งในอินเตอร์เน็ตนับหมื่นเว็บไซต์

สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ให้ข้อมูลไว้ว่า ตามปกติแพทย์จะสั่งจ่ายยาลดความอ้วนในกรณีผู้ป่วยเป็น'โรคอ้วน'พร้อมกับติดตามผลอย่างใกล้ชิดเนื่องจากยาลดความอ้วนอาจจะส่งผลกระทบต่อร่างกายถึงขั้นเสียชีวิต

วิธีการลดความอ้วนไม่ใช่แค่พึ่งยาอย่างเดียว แต่ต้องอาศัยการควบคุมอาหารและออกกำลังกายควบคู่กัน

นอกจากนั้น สารประกอบในยาลดความอ้วนยังเพิ่มความเสี่ยงส่งผลให้ผู้ป่วยโรคหัวใจ หลอดเลือด เบาหวาน ความดัน อาการทรุดหนักลงได้
ที่สำคัญ เด็กอายุน้อยกว่า 13 ปี หรือสตรีมีครรภ์ ห้ามใช้ยาดังกล่าวโดยเด็ดขาด
โดยทั่วไปยาลดน้ำหนักแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลักๆ แยกตามตำแหน่งการออกฤทธิ์ของยา คือ

-ยากลุ่มออกฤทธิ์ที่สมอง ส่งผลต่อศูนย์ควบคุมการรับประทานอาหาร โดยไปกดไว้จนไม่อยากอาหาร

-ยาออกฤทธิ์ต่อส่วนนอกสมอง ทำให้ระบบลำไส้ยับยั้งการดูดซึมของสารอาหารอาการผิดปกติที่พบบ่อย หลังจากทานสารลดความอ้วนเข้าไปอาทิ

กระวนกระวาย ปวดศีรษะ ความดันโลหิตสูง หัวใจเต้นเร็ว ปากแห้ง เหงื่อออก คลื่นไส้ ท้องผูก ไปจนถึงตื่นเต้นเกินเหตุ ม่านตาขยาย ประสาทหลอน

เมื่อใช้ไประยะหนึ่งจะเกิดอาการ'เสพติด' ในบางกรณีที่อาการร้ายแรงจะเจ็บหน้าอกเฉียบพลัน ระบบการไหลเวียนของเลือดล้มเหลว ชัก โคม่า และเสียชีวิตในที่สุด

วันพุธที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2554

ประเพณีวันไหล


วันไหล : คือ วันทำบุญขึ้นปีใหม่ของชาวทะเล โดยกำหนดหลังวันมหาสงกรานต์ประมาณ 5-6 วัน เดิมเรียกว่า ประเพณีก่อ
พระทรายน้ำไหล วัดใดอยู่ใกล้แม่น้ำ ห้วย หนอง คลอง บึงในบริเวณนั้น ก็จะจัดประเพณีขึ้นโดยชาวบ้านจะช่วยกันชนทรายตามชายหาดใกล้ ๆ เข้าวัด ทำให้วัดนั้น ๆ ได้รับประโยชน์ในการใช้ทรายก่อสร้างเสนาสนะและปูชนียสถานในวัด หรือถมบริเวณวัด


วันก่อพระทรายน้ำไหล เป็นวันที่ชาวบ้านขนทรายมาเข้าวัด เพื่อก่อเป็นรูปกรวยเล็ก ๆ เพื่อให้ครบ 84,000 กอง เท่ากับจำนวนพระธรรมขันธ์ เจดีย์ทรายตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงประดับด้วยดอกไม้ และธงต่าง ๆ เพื่อเป็นพุทธบูชา มีการละเล่นพื้นเมืองเพื่อความสามัคคีและสนุกสนานรื่นเริง มีการทอดผ้าป่า ทำบุญเลี้ยงพระเนื่องในเทศกาลตรุษไทย และจัดเลี้ยงผู้คนที่มาร่วมงานด้วย ปัจจุบันสภาพบ้านเมืองได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว การขนทรายเข้าวัดดังเช่นในอดีตที่เคยใช้การหาบเข้ามาก็เปลี่ยนเป็นบรรทุกใส่ รถยนต์แทน เพื่อให้เกิดความสะดวกและรวดเร็ว วัดหลายวัดจึงไม่เห็นความจำเป็นที่จะใช้ทรายที่ถูกซัดมารวมที่ คู หนอง คลอง บึง ประกอบกับสถานที่ดังกล่าวเกิดสภาพตื้นเขิน งานก่อพระทรายจึงเปลี่ยนไป และเรียกกันง่าย ๆ ว่า วันไหล หรือ ประเพณีวันไหล
จังหวัด ชลบุรี

ได้จัดงานวันไหลและส่งเสริมการท่องเที่ยวบริเวณชายหาดบางแสน และชายหาดพัทยา ขึ้นประมาณวันที่ 17-18 เมษายน ของทุกปี ในเทศกาลวันไหลจะมีการจัดกิจกรรมหลายอย่าง อาทิ การทำบุญใส่บาตร การสรงน้ำพระพุทธรูป การเล่นสาดน้ำสงกรานต์ การก่อพระเจดีย์ทราย การแข่งขันกีฬาพื้นเมือง การแข่งขันด้านอาชีพ ฯลฯ นอกจากนี้สุภาพสตรีคนใดที่มาร่วมงานด้วยการแต่งกายแบบไทยก็จะมีแมวมองส่ง เข้าประกวดขวัญใจงานวันไหล โดยให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสิน ซึ่งสามารถสร้างความสนใจในหมู่ชาวไทย และชาวต่างประเทศได้อย่างดียิ่ง ในปี พ.ศ. 2540 การจัดงานประเพณีวันไหลชายหาดบางแสนได้เปลี่ยนชื่องานเป็น งานก่อพระทรายวันไหลบางแสน นับเป็นประเพณีท้องถิ่นที่ทรงคุณค่าและควรแก่การอนุรักษ์ไว้

วันอาทิตย์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2554

เกาะเกร็ด




การล่องเรือชมวิถีชีวิตชุมชนมอญเกาะเกร็ด เริ่มต้นที่ท่าน้ำวัดปรมัยยิกาวาส สัญลักษณ์ของวัดคือ พระเจดีย์มุเตา เป็นเจดีย์ทรงรามัญ ก่อนลงเรืออาจแวะชมภาพจิตรกรรมแบบตะวันตกและงานฝีมือแบบมอญ ในพิพิธภัณฑ์ของวัด เรือจะพาล่องต่อไปตามแม่น้ำอ้อมเกร็ด ซึ่งเป็นแม่น้ำเจ้าพระยาสายเดิม ด้านตะวันตกของเกาะเป็นเขตสวนผลไม้ และแปลงปลูกผักปลอดสารพิษ ไม่ควรพลาดแวะ คลองขนมหวาน หรือคลองบางบัวทอง ชมการทำขนมไทย ชิมและเลือกซื้อหาเป็นของฝาก ช่วงแม่น้ำลัดเกร็ด จะได้เห็น “บ้านมอญขวาง” ซึ่งปลูกขวางแนวแม่น้ำ เรียงรายกันอยู่ค่อนข้างหนาแน่น เมื่อขึ้นเรือที่ท่าน้ำวัดปรมัยยิกาวาส อาจเดินไปชมพิพิธภัณฑ์เครื่องปั้นดินเผามอญโบราณ บ้านกวานอาม่าน (หมู่บ้านช่างปั้น) หรือเดินต่อไป ชมโรงปั้น และเลือกซื้อหาของฝากจากแหล่งผลิต มื้อเที่ยงอย่าลืมแวะลิ้มลองอาหารมอญ โดยเฉพาะที่ทำจากหน่อกะลา เช่น ทอดมัน แกงส้ม ก๋วยเตี๋ยวหมู หากไปเที่ยวเกาะเกร็ดช่วงสงกรานต์ ก็จะได้ชิม ข้าวแช่ กะละแม และคะนอมจิน อาหารมอญโบราณ



วัดปรมัยยิกาวาส
ศิลปกรรมสำคัญในวัด ได้แก่ พระมหารามัญเจดีย์ เป็นเจดีย์ทรงรามัญ ที่ลานหลังพระอุโบสถ รัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างจำลองแบบจากพระเจดีย์มุเตา เมืองหงสาวดี พระอุโบสถ ตกแต่งด้วยวัสดุจากอิตาลี ตามศิลปะพระราชนิยมในรัชกาลนี้ ภายในยังมีภาพจิตรกรรมฝาผนัง เขียนแบบสามมิติ (perspective) แบบตะวันตก พิพิธภัณฑ์วัดปรมัยยิกาวาส จัดแสดงศิลปกรรมมอญที่หาชมได้ยาก ได้แก่ งานแกะดุนโลหะ ยอดฉัตรพระมหารามัญเจดีย์ และงานเครื่องกระดาษ เช่น เหมหรือโลงศพ สำหรับงานศพพระเถระ เชิงบันไดทางขึ้นพิพิธภัณฑ์ มีโอ่งดินเผา เป็นฝีมือช่างเกาะเกร็ด ปั้นเมื่อปี พ.ศ. 2468 พิพิธภัณฑ์ฯ เปิดเฉพาะเสาร์ – อาทิตย์

เส้นทางแนะนำ
ล่องเรือชมวัด ชุมชนมอญเกาะเกร็ด (ใช้เวลาครึ่งวัน)
นั่งเรือชมรอบเกาะ เพื่อสัมผัสความงดงามของบ้านเรือน และวัดสำคัญของชุมชนชาวมอญ รวมทั้งความร่มรื่นเขียวขจีของเรือกสวน แวะเข้าไปชมการทำขนมไทยที่คลองขนมหวาน จากนั้น ชมเส้นทางเครื่องปั้นดินเผาอันเลื่องชื่อของเกาะเกร็ด แล้วอิ่มอร่อยกับอาหารพื้นบ้านแบบมอญก่อนเดินทางกลับ

นั่งเรือรอบเกาะเกร็ด
มีเรือข้ามฟากที่วัดสนามเหนือ ข้ามมาที่ท่าน้ำวัดปรมัยยิกาวาส หากจะนั่งเรือรอบเกาะ มีเรือหางยาว นั่งได้ประมาณ 8 คน เหมาลำลำละ 500 บาท แต่แวะคลองขนมหวาน ราคา 700 บาท เรือเล็กเช่าจากปากเกร็ด เข้าคลองขนมหวาน ราคา 150 – 200 บาท

ล่องคลองบางใหญ่
จากท่าน้ำนนทบุรี มีเรือท้องแบนวิ่งเส้นทางนนทบุรี - คลองอ้อม - คลองใหญ่ ตั้งแต่ 4.00 - 20.00 น. ค่าโดยสาร 6 บาท ใช้เวลา 15-20 นาที

วันเสาร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2554

ปาลิโอ


ปาลิโอ หรือ Palio เป็นภาษาอิตาเลียน ความหมายคือรางวัล ซึ่งทางกลุ่มเจ้าของโครงการต้องการให้เป็นรางวัลกับชุมชนคนเขาใหญ่โครงการปาลิโอประกอบด้วยร้านค้าเล็กๆน่ารักแบบถนนคนเดินสไตล์อิตาเลียน ผู้ออกแบบมีความรักและประทับใจในสถาปัตยกรรมสไตล์อิตาเลียนหลังจากเดินทางไปท่องเที่ยว และศึกษาดูงานมานานหลายปี นอกจากโครงสร้างที่โดดเด่นสวยงามเป็นเอกลักษณ์แล้ว ภายในโครงการยังได้นักจัดสวนระดับแถวหน้าสุดของประเทศไทยคือ คุณอำนาจ คีตพรรณา มาเนรมิตสวนสวยรายล้อมตัวอาคารร้านค้าให้โครงการสวยงามยิ่งขึ้น



โครงการปาลิโอ เขาใหญ่ตั้งอยู่บนถนนธนะรัชต์ หลักกิโลเมตรที่ 17 ติดกับโรงแรมจุลดิศ เขาใหญ่ รีสอร์ท แอนด์ สปา ภายในมีร้านค้ากว่า 140 ร้าน ประกอบด้วย ธนาคาร ร้านอาหารไทย อิตาเลียน ญี่ปุ่น ศูนย์อาหารที่คัดสรรแล้วว่าอร่อยจริง ลานเบียร์ ร้านขายยา ร้านขายของที่ระลึก พืชผักปลอดสารพิษ เครื่องประดับ เครื่องแต่งกาย เครื่องเสียง

นอกจากนั้นในทุกวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ จะมีกิจกรรมที่น่าสนใจมากมายอาทิ ดนตรีในสวนจากนักร้องดังๆ นิทรรศการภาพถ่าย ประกวดกล้วยไม้ ภาพเขียน เป็นต้น ส่วนบุคคลที่มีชื่อเสียง เช่น คุณสุรางค์ เปรมปรีดิ์ คุณนุสบา ปุณณกันต์ คุณอรุโณชา ภานุพันธุ์ ได้จองร้านค้าเพื่อทำธุรกิจที่ปาลิโอเรียบร้อยแล้ว โดยปาลิโอ เขาใหญ่ กำหนดเปิดอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 ธันวาคม 2552 นี้

ข้อมูล Palio ปาลิโอ เขาใหญ่

บริษัท เขาใหญ่ วิลเลจ มอลล์ จำกัด โดยการร่วมมือของ กลุ่มจุลดิศ และ กลุ่มพรีโม พอสโต
โครงการดำเนินการก่อสร้างอยู่บนพื้นที่ 7 ไร่ เป็นพื้นที่อาคารทั้งหมด 6,500 ตารางเมตรพื้นที่สวน และส่วนกลางอีก 4,700 ตารางเมตร ด้วยงบประมาณลงทุนมูลค่า 150 ล้านบาท ทั้งนี้ยังมิได้รวมถึงการลงทุนในการจัดการเรื่องการตลาด และ การจัดกิจกรรมต่างๆ ในโครงการ อีกทั้งทางกลุ่มจุลดิศ และ กลุ่มพรีโม พอสโต ยังวางแผนที่จะสร้างโครงการเฟส 2 บนเนื้อที่ที่จัดเตรียมไว้อีกประมาณ 5 ไร่ ในอนาคตข้างหน้า
งานสถาปัตยกรรม Palio เป็นกลุ่มอาคาร 1 และ 2 ชั้น มีร้านค้าหลากหลายประเภทกิจการอาทิ ร้านอาหาร ศูนย์อาหาร และลานกิจกรรม

มีร้านค้ากว่า 140 ร้านใน Pailo ประกอบด้วยสินค้าหลากหลาย เช่น

ธนาคาร
ร้านอาหารไทย อิตาเลียน ญี่ปุ่น
ศูนย์อาหารที่คัดสรรแล้วว่าอร่อยจริง (เช่น ร้านข้าวหมกไฮโซ)
ร้านกาแฟ ร้านเบเกอรี่
ร้านไวน์
ร้านขายยา
ร้านขายของที่ระลึก
พืชผักปลอดสารพิษ
เครื่องประดับ
เครื่องแต่งกาย
เครื่องเสียง
เฟอร์นิเจอร์
ร้านหนังสือธรรมะ

วันอาทิตย์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

หมีขั้วโลก



หมีขั้วโลก (Polar Bear) จัดอยู่ในไฟลัมสัตว์มีแกนสันหลัง ชั้นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เป็นนักล่าแห่งดินแดนขั้วโลกเหนือที่มีขนาดใหญ่ที่สุด มีความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับสภาพชีวิตกลางน้ำแข็ง ธรรมชาติสร้างให้หมีขาวแตกต่างจากหมีพันธุ์อื่น คือ มีขนคลุมอุ้งเท้า นิ้วเท้าสั้น เล็บโค้งงอเพื่อ ให้ยึดน้ำแข็งได้อย่างมั่นคง ในขณะเดียวกันก็มีท่อนขาขนาดใหญ่เพื่อเฉลี่ยน้ำหนักมหาศาล เพื่อสามารถเดินบนน้ำแข็งบางๆ ได้

หมีขั้วโลก ตัวผู้หนักถึง 775-1,500 ปอนด์ ส่วนตัวเมียหนัก 330-500 ปอนด์ มีถิ่นที่อยู่บริเวณอาร์กติก ขั้วโลกเหนือ แต่ไม่มีหลักแหล่งที่แน่นอน พบในอลาสกา แคนาดา รัสเซีย เดนมาร์ก (กรีนแลนด์) และนอร์เวย์ เป็นสัตว์สปีชีส์หนึ่งของโลกที่กำลังถูกคุกคาม ปัจจุบันหมีขั้วโลกมีจำนวนประมาณ 22,000-27,000 ตัว อยู่ในแคนาดามากที่สุดคือราว 15,000 ตัว ซึ่งการดำรงชีวิตให้อยู่รอดในแถบอาร์กติกที่มีอุณหภูมิหนาวเย็น ทำให้สัตว์หลายๆ ชนิดใช้เวลายาวนานในการวิวัฒนาการจนมีขนสีขาว หรือเปลี่ยนสีขนในฤดูหนาวจนกลมกลืนกับหิมะ ซึ่งเป็นการพรางตัวที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต และหาอาหาร ดังเช่นกระต่ายป่าสีขาว (white hare) , นกนางนวลอาร์กติก (Arctictern) , ตัววีเซล (weasel) , ตัวเลมมิง (lemming) , หมาจิ้งจอกอาร์กติก (Arctic fox)
โดยเฉพาะหมีขั้วโลก (polar bear) ที่ใช้เวลาประมาณ 2 แสนปี พัฒนา และมีวิวัฒนาการจากหมีสีน้ำตาลมาเป็นหมีขาวในทุกวันนี้
หมีขั้วโลกหรือที่นักวิทยาศาสตร์บางคนระบุว่ามันคือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม สัตว์แห่งมหาสมุทรที่ชอบใช้ชีวิตอยู่ในน้ำมากกว่าบนบก หมีชนิดนี้อาศัยอยู่ในดินแดนน้ำแข็งที่หนาวเหน็บเกินกว่ามนุษย์จะเข้าใจที่ราบทุนดร้าแห่งอาร์คติค มีพื้นที่ 5 ตารางไมล์ ที่นี่มีฤดูหนาวกินระยะเวลานานถึง 4 เดือน ซึ่งอุณหภูมิจะลดลงไปเรื่อยๆ จนถึงลบ 50 องศาเซลเซียล ลมจะพัดผ่านผืนหิมะอันว่างเปล่าด้วยความเร็วประมาณ 100 ไมล์ต่อชั่วโมง ส่วนผืนน้ำถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็งที่ลึกกว่า 6 ฟุตท่ามกลางความหนาวเหน็บนี้ หมีขั้วโลกใช้เวลายาวนานกว่าสองแสนปี เพื่อพัฒนาศิลปะแห่งการอยู่รอดในดินแดนแห่งนี้




แต่การปรับตัวบางอย่างถูกคิดค้นมาหลอกเราได้อย่างชาญฉลาด เช่น ขนสีขาวราวหิมะอันแสนสวยที่แลดูขาวสะอาดและละเอียดของมัน แท้จริงแล้วขนของมันไม่ใช่สีขาวเลยแม้แต่น้อย ซึ่งขนของหมีขั้วโลกนั้นเหมือนกับผ้าห่มหนาที่ทำมาจากหลอดดูดน้ำแบบละเอียด ทั้งหมดเหมือนเคลือบด้วยยาทาเล็บ แพขนจะสะท้อนแสงแดดที่ทอดลงมาบนหิมะ ทำให้มันดูเป็นสีขาวและกลืนไปกับสภาพแวดล้อม
เมื่อถึงเวลาอาหาร นักกินที่มูมมามอย่างหมีขั้วโลกจะพยายามทุกวิถีทางเพื่อกินอย่างสะอาดการดูแลตัวเองเป็นเรื่องใหญ่ของหมีขั้วโลก พวกมันสนใจกับการดูแลตัวเองมาก และไม่แปลกที่หมีจะหยุดกินแล้วทำความสะอาดอุ้งเท้าที่เปรอะไปด้วยเลือด ก่อนจะกลับไปกินต่อแต่ที่หมีขั้วโลกทำเช่นนี้คือมีเหตุผลว่าขนที่เกรอะกรังและสกปรกจะไม่สามารถช่วยป้องกันความหนาวเย็นได้ เพราะการป้องกันความหนาวคือสิ่งสำคัญต่อหมีขั้วโลก หมีมีระบบทำความร้อนสำรองใต้เส้นขน ชั้นไขมันหนาจะเก็บความร้อนไว้ภายในร่างกาย ซึ่งหมีขั้วโลกจะรักษาอุณหภูมิร่างกายให้เป็นปกติอยู่ตลอดเวลา

ในบางครั้ง ขนที่หนาและละเอียดของมัน รวมถึงชั้นไขมันอาจทำให้ความร้อนในตัวสูงเกินไปจนอาจเสียชีวิตได้ ทำให้พวกมันต้องใช้ชีวิตอย่างเชื่องช้า งานวิจัยต่างๆ แสดงว่าการเดินช้าๆ ช่วยควบคุมอุณหภูมิในร่างกายของพวกมันได้ เจ้าหมีจะเดินไปบนน้ำแข็งและหิมะด้วยความเร็วเพียง 3 – 4 ไมล์ต่อชั่วโมงเท่านั้น

หมีขั้วโลกครองสถิติเท้าใหญ่ที่สุดในบรรดาตระกูลหมีทั้งหมด อุ้งเท้าขนาดใหญ่ที่ถูกออกแบบมาพิเศษสำหรับน้ำแข็งโดยเฉพาะ เท้าของมันปกคลุมไปด้วยปุ่มคล้ายนิ้วที่เรียกว่า “พาพิเล” ซึ่งช่วยทำให้ฝ่าเท้ามีลักษณะเหมือนกระดาษทราย ทำให้มีแรงฝืดบนน้ำแข็งอันแสนลื่นได้ เท้ากึ่งพังผืดทำให้สามารถว่ายน้ำได้อย่างง่ายดาย อุ้งเท้าหนาทำหน้าที่เปรียบเสมือนไม้พาย ผลักดันร่างกายอันใหญ่โตผ่านน้ำ ฝ่าเท้าหลังบังคับทิศทางเสมือนหางเสือกรงเล็บจะจิกลงไปบนแผ่นน้ำแข็งช่วยให้มันยกตัวขึ้นจากน้ำได้ พวกมันไม่มีปัญหาในการเกาะแพน้ำแข็งเพื่อเดินเช่นกัน เท้าใหญ่ของมันจะช่วยในการกระจายน้ำหนักเหนือแผ่นน้ำแข็งบางๆ และถ้าหากน้ำแข็งบางเกินไป พวกมันจะนอนราบไปบนพื้นน้ำแข็งเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการแตกหัก



หมีเพศเมียที่ตั้งท้องต้องขุดโพรงสำหรับคลอดลูกในฤดูใบไม้ร่วง ลูกหมีมักถือกำเนิดในเดือนธันวาคมและมกราคม ตอนเกิดพวกมันจะมีน้ำหนักเพียงหนึ่งปอนด์เท่านั้น และจะใช้เวลา 3 – 4 เดือน ในการกินและนอนหลับเคียงข้างแม่ แต่ไม่ใช่การจำศีล เพราะหมีขั้วโลกไม่มีการจำศีล

หมีขั้วโลกจะกินเกือบทุกสิ่ง มันกินวอลรัส สุนัขจิ้งจอก นกทะเล ในบางครั้งฝูงวาฬเบลูก้าจะว่ายเข้ามาติดในช่องว่างระหว่างแพน้ำแข็ง ทำให้หมีหาอาหารง่าย หมีขาวร่างใหญ่กินอาหารหลากชนิด แต่สัตว์หลากชนิดเหล่านั้นต้องอาศัยหมีเหมือนกัน เช่นสุนัขจิ้งจอกขั้วโลก มันจะคอยติดตามหมีอยู่เสมอเพื่อหาเศษอาหารที่เหลือ นอกจากหมีขั้วโลกจะกินเนื้อสัตว์แล้ว มันยังต้องหาแหล่งแร่ธาตุและวิตามินเพื่อพวกมันจะได้กินอาหารครบหมู่ แม่หมีจะคอยแสดงให้ลูกเห็นถึงประโยชน์ของการกินผักเขียวตั้งแต่อายุยังน้อย เป็นเพราะเจ้าตัวเล็กชอบที่จะเลือกกิน

หมีขั้วโลกทั้งเพศผู้และเพศเมีย ต่างเป็นนักพเนจรที่โดดเดี่ยว แยกห่างจากกันและกัน นอกเหนือจากเวลาที่พวกมันมาชุมนุมกันเพื่อจุดประสงค์บางอย่าง เช่น ในฤดูผสมพันธุ์ หมีที่สูง10 ฟุต โตเต็มที่อาจอยู่ได้นาน 30 ปี ตลอดชีวิตของหมีขั้วโลกนั้น การอดทน การออกล่าการดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด นี่คือวิถีแห่งราชาน้ำแข็ง วิถีแห่งหมีขั้วโลก

วันจันทร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2554

ปลาโลมาสีชมพู


"ปลาโลมาสีชมพู” อาศัยเป็นจ้าวถิ่นอยู่บริเวณ “อ่าวเสด็จ” หรือที่ชาวบ้านแถบนั้นเรียกแบบติดสำเนียงทองแดงจนเพี้ยนไปเป็น “อ่าวเตล็ด” ตั้งอยู่บริเวณเหนือสุดของอ่าวขนอม ในเขตอ.ขนอม ดินแดนนครศรีธรรมราช มานานนับหลายสิบปี ชาวบ้านกับชาวประมงในละแวกนั้นเห็นฝูงเจ้าปลาโลมาสีชมพูมาแหวกว่ายวนเวียน อวดโฉมหน้าและดวงตาทะเล้นสุกใส บนผิวน้ำยามที่ต้องโผล่พ้นขึ้นมาหายใจทุกเมื่อเชื่อวัน อยู่ตลอดทั้งปี เป็นภาพที่ชินตายิ่งนัก สำหรับคนที่ได้เห็นทุกวัน แต่สำหรับนักท่องเที่ยวผู้เสาะแสวงหาธรรมชาติอย่างถึงที่สุดแล้ว ล้วนตื่นเต้นแปลกตากับฝูงเจ้าโลมาสีชมพู ซึ่งปกติแล้วปลาโลมาจะมีลักษณะสีเทาเผือก แต่ปลาโลมาสีชมพูที่ว่าจะมีอายุประมาณ 40-50 ปี สีเทาที่ผิวของมันจะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีชมพูทั่วทั้งตัวในที่สุด

ไม่แปลกใจหากเราจะพบว่าฝูงปลาโลมาเหล่านี้ ออกมาอวดโฉมหน้าให้ได้เห็นอย่างไม่เคอะเขิน ราวกับว่านี่คือกิจวัตรประจำวันที่ต้องออกมาทักทายอาคันตุกะ ที่ต้องการมายลโฉมให้เห็นเป็นบุญตา ก็อาจเป็นเพราะนักท่องเที่ยวเองด้วยที่รักษามารยาทของความเป็นนักท่องเที่ยว ธรรมชาติอย่างแท้จริง ที่ขอเพียงแค่ได้พบเห็น และพยายามถนอมรักษาสิ่งมหัศจรรย์ที่อยู่เบื้องหน้าไว้ให้ได้นานที่สุด เพราะความสุขที่ได้รับผ่านสายตาและเลนส์กล้องนั้นก็เป็นความสุขเกินบรรยาย แล้ว



ตามคำบอกเล่าของ “ชวนชื่น อรรถพร” ผู้ดูแลธุรกิจท่องเที่ยวแห่งหนึ่งในเมืองขนอม และเพิ่งมาจับธุรกิจท่องเที่ยวตัวนี้ได้เพียง 10 ปี บอกว่า “ไม่รู้ว่าปลาโลมาเหล่านี้มาอาศัยอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่เท่าที่พี่เข้ามาจับธุรกิจท่องเที่ยวตรงนี้เมื่อ 10 ปี ก่อน ก็เห็นแล้ว แปลกที่พี่ก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่า ที่ตรงนี้มีฝูงโลมาอยู่ด้วย น่าเสียดายที่คนไม่ค่อยรู้เท่าไหร่ จะมีก็เฉพาะคนท้องที่เท่านั้นจริง ๆ ถึงจะทราบ แต่เขาก็เฉย ๆ ไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องแปลกใหม่อะไร พี่อยากเรียกมันว่าเป็นสิ่งที่สวรรค์ซ่อนเร้นจริง ๆ ”

อย่างไรก็ตาม เจ้าโลมาสีชมพูคงไม่ต้องถูกสวรรค์บดบังอีกต่อไป เพราะในอีกปีข้างหน้า ฝูงโลมาสีชมพู ก็จะถูกบันทึกเป็นบทหนึ่งในโครงการ “อันซีน ไทยแลนด์” อย่างเป็นทางการแล้ว

แม้เมืองขนอมในวันนี้ยังไม่บูมเรื่องท่องเที่ยวเท่าที่ควร เป็นเพราะคนอาจคิดว่าที่นี่เป็นเมืองอุตสาหกรรมเสียส่วนมาก ในขณะที่แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติในเมืองขนอมนั้นมีมากมาย และยังคงสภาพตามธรรมชาติไว้ได้อย่างดีด้วย ทั้งชายหาดต่าง ๆ ที่เหมาะสำหรับการพักผ่อนหย่อนใจอย่างแท้จริง ด้วยความสงบเงียบเรียบง่ายประกอบกับธรรมชาติยังไม่ถูกทำลายไปมากนัก ทั้งที่เมื่อก่อน ณ บริเวณอ่าวท้องเนียน ช่วงเดือนก.ค.ของทุกปีนั้น เคยจัดการแข่งขันกอล์ฟทะเลมาแล้วถึง 3 ปีซ้อน เนื่องจากมีพื้นที่ชายหาดนับพันไร่ และเป็นการโปรโมทด้านการท่องเที่ยวไปในตัว แต่ก็ต้องมีอันพับโครงการไปด้วยเหตุผลกลไกของภาครัฐ

วันศุกร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2554

วันวาเลนไทน์




วันวาเลนไทน์ นั้นมีมาตั้งแต่สมัยจักรวรรดิโรมัน ในกรุงโรมสมัยก่อนนั้น วันที่ 14 กุมภาพันธ์ จะเป็นวันเฉลิมฉลองของจูโน่ ซึ่งเป็นราชินีแห่งเหล่าเทพและเทพธิดาของโรมัน ชาวโรมันรู้จักเธอในนามของเทพธิดาแห่ง อิสตรีและการแต่งงาน และในวันถัดมาคือวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ก็จะเป็นวันเริ่มต้นงานเลี้ยงของ Lupercalia การดำเนินชีวิตของเด็กหนุ่มและเด็กสาวในสมัยนั้นจะถูกแยกจากกันอย่างเด็ดขาด แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีประเพณี อย่างนึง ซึ่งเด็กหนุ่มสาวยัง สืบทอดต่อกันมา คือ คืนก่อนวันเฉลิมฉลอง Lupercalia นั้นชื่อของเด็กสาวทุกคนจะถูกเขียนลงในเศษกระดาษเล็ก ๆ และจะใส่เอาไว้ในเหยือก เด็กหนุ่มแต่ละคนจะดึงชื่อของเด็กสาวออกจากเหยือก แล้วหลังจากนั้นก็จะจับคู่กันในงานเฉลิมฉลอง บางครั้งการจับคู่นี้ ท้ายที่สุดก็จะจบลงด้วยการ ที่เด็กหนุ่มและเด็กสาวทั้งสองนั้นได้ตกหลุมรักกันและแต่งงานกันในที่สุด

ภายใต้การปกครองของจักรพรรดิคลอดิอุสที่สอง (Claudius II) นั้น กรุงโรมได้เกิดสงครามหลายครั้ง และคลอดิอุสเองก็ประสบกับปัญหาในการที่จะหาทหารจำนวนมากมายมหาศาลมาเข้าร่วมในศึกสงคราม และเขาเชื่อว่าเหตุผลสำคัญก็คือ ผู้ชายโรมันหลายคนไม่ต้องการจากครอบครัวและคนอันเป็นที่รักไป และด้วยเหตุผลนี้เอง ทำให้จักรพรรดิคลอดิอุสประกาศให้ยกเลิกงานแต่งงานและงานหมั้นทั้งหมดในกรุงโรม ถึงกระนั้นก็ตาม ยังมีนักบุญผู้ใจดีคนหนึ่งซึ่งชื่อว่า ท่านนักบุญ " วาเลนไทน์ " ท่านเป็นพระที่กรุงโรมในสมัยของจักรพรรดิคลอดิอุสที่สองท่าน นักบุญ วาเลนไทน์ และนักบุญ มาริอุส ได้จัดตั้งกลุ่มองค์กรเล็กๆ เพื่อช่วยเหลือชาวคริสเตียนที่ตกทุกข์ได้ยากเหล่านี้ และได้จัดให้มีการแต่งงานของคู่รักอย่างลับๆด้วย

และจากการกระทำเหล่านี้เอง ทำให้ นักบุญ วาเลนไทน์ ถูกจับและถูกตัดสินประหารโดยการตัดศรีษะ ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ประมาณปีคริสต์ศักราชที่ 270 ซึ่งถือเป็นวันที่ท่านได้ทนทุกข์ทรมานและเสียสละเพื่อเพื่อนมนุษย์



.. ทำไมจึงชื่อ " วันวาเลนไทน์ " ..


วันที่ 14 กุมภาพันธ์ ของทุกปีเป็น วันวาเลนไทน์ ซึ่งพวกหนุ่มสาวมักจะรีบไปซื้อบัตรส่งทักทายกันส่งใจถึงกัน นับเป็นความนิยมมากขึ้น ประเพณีนี้เข้ามาสู่ประเทศไทยทีละเล็กละน้อย และดูเหมือนจะเป็นที่นิยมมากขึ้นทุกปี เป็นประเพณีที่หนุ่มสาวนิยมกันมากเป็นพิเศษที่สหรัฐอเมริกาและที่ประเทศอังกฤษ

ทำไมจึงมีชื่อว่า “ วันวาเลนไทน์ ” และความหมายที่แท้จริงของวันนี้คืออะไร? และมาจากไหน?

นักบุญ วาเลนไทน์ (Valentine) เป็นสงฆ์คาทอลิกองค์หนึ่งที่ได้ถูกประหารชีวิตในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ คริสตศักราช 270 ในสมัยพระเจ้าจักรพรรดิโรมัน เกลาดิอุส ที่ 2 ( Clanoius) โดยแท้จริงแล้วท่านนักบุญไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับประเพณีการเลือกคู่ หรือหาคู่ หรือหาแฟน หรือความรัก ความสนใจระหว่างหนุ่มสาว ท่านก็ไม่ได้ไปเกี่ยวข้องด้วยเลย ถ้าเช่นนั้นแล้ว ทำไมจึงเลือกนักบุญองค์นี้มาเป็นองค์อุปถัมภ์สำหรับผู้ที่กำลังหาคู่ เลือกคู่หรือเลือกแฟนกันได้เล่า ? เหตุผลที่ค้นพบได้ก็คือ ที่มาของวันวาเลนไทน์ ไม่ขึ้นอยู่กับคนผู้นี้ แต่ขึ้นอยู่กับวันที่ 14 กุมภาพันธ์

ประเพณีเลือกคู่ หรือหาคู่นี้มีมาแต่โบร่ำโบราณในทุกชาติ ดูเหมือนกับว่าได้เกิดขึ้นพร้อมกับวิวัฒนาการของมนุษย์ก็ว่าได้ ประเพณี วาเลนไทน์ นี้ก็มีต้นเหตุหรือ ที่มาสมัยที่จักรวรรดิโรมันแผ่อิทธิพลไปทั่ว ชาวโรมันสมัย โบราณมีการฉลองเทพเจ้าองค์หนึ่งชื่อ ลูแปร์คูส (Lupercus) ซึ่งตรงกับวันที่ 15 กุมภาพันธ์ และถือว่าเป็นการฉลองใหญ่ ส่วนหนึ่งของการฉลองใหญ่นี้ก็จะเป็นการจัดงานหาคู่ของพวกหนุ่มสาว ซึ่งจัดขึ้นในวันก่อนวันฉลองใหญ่ 1 วัน คือวันที่ 14 กุมภาพันธ์ นี้จะถือโอกาสให้พวกหนุ่มสาวเสนอตัวเป็นคนรักกันชั่วระยะเวลา 1 ปี ช่วงนี้จะเรียกว่าเป็นช่วงทดลองมิตรภาพเพื่อดูว่าทั้งคู่จะมีนิสัยใจคอเข้ากันได้หรือไม่ ชาวโรมันเป็นคนศรัทธาในเทพเจ้า และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ก็มีความเชื่อกันว่าพวกตนมีเทพเจ้าองค์หนึ่งซึ่งเขาขอให้เป็นผู้ดูแลความรักของเขาในระหว่างช่วงระยะเวลาการทดลองเป็นคู่รักกัน 1 ปี นั้น เทพเจ้าองค์นี้เป็นหญิงชื่อเทพธิดา Juno Februata ซึ่งตาม เทพนิยายของชาวโรมันเป็นมเหสีของ Jupiter องค์มหาเทพเจ้าทั้งหลาย

ครั้นต่อมา เมื่อชาวโรมันส่วนใหญ่กลับใจมาถือศาสนาคริสต์ (ตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 4 ) ประเพณีของหนุ่มสาวที่จะหาคู่เพื่อทดลองเป็นคนรักกัน เพื่อจะแต่งงานกันในเวลาต่อไปนั้นก็ยังนิยมทำกันอยู่ แม้ว่าจะเป็นคริสตชนแล้วก็ตาม ฉะนั้นเขาก็ยังรักษาประเพณีการเลือกคู่ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์นั้นอยู่ตลอดมา เพียงแต่ว่าหนุ่มสาว โรมันชาวคริสต์ได้หันมาเปลี่ยนตัวผู้อุปถัมภ์องค์ใหม่ เพราะคริสตชนไม่นับถือเทพเจ้าหรือเทพธิดาอย่างกาลก่อน เขาจึงหันมาเลือกหานักบุญในคริสตศาสนาที่มี วันฉลองในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ซึ่งก็มี นักบุญวาเลนไทน์องค์นี้เอง จึงขอยืมชื่อท่านมาเป็นองค์อุปถัมภ์แทนเทพเจ้าเดิมของชาวโรมัน เรื่องราวความเป็นมามีดังนี้ ฉะนั้นถ้าท่านนักบุญมีชีวิตอยู่ท่านอาจรู้สึกงงงวยในตำแหน่งที่หนุ่มสาวได้เลือกตั้งและแต่งตั้งให้ท่านเป็นผู้อุปถัมภ์ โดยที่ท่านไม่ได้รู้เรื่องทางโลกของหนุ่มสาวด้วยเลยแม้แต่น้อย

ความรักระหว่างหนุ่มสาวนั้นอาจจะเผชิญกับอันตรายบางอย่าง และอาจจะเป็นโอกาสให้พลังและความรักนั้นทำลายความสัมพันธ์อันสูงส่งระหว่างหนุ่มสาวนั้นเอง ความหมายของการมี วันวาเลนไทน์ นี้ก็คือการช่วยหนุ่มสาวหาวิธีการเพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันด้วยใจบริสุทธิ์

ความหมายเห็นได้ชัดในคำว่า “You are my Valentine” ที่มักจะเขียนลงในบัตรส่งใจถึงกันและกัน ประโยคตามความหมายเดิม หมายถึงว่า “ข้าพเจ้าขอเสนอตัวเป็นเพื่อนสนิทของท่านในช่วงเวลา 1 ปี และข้าพเจ้าพร้อมที่จะตกลงแต่งงานกับท่าน ถ้ามิตรภาพของเรานี้เป็นสิ่งที่ยืนยง”

ลักษณะความสัมพันธ์ระหว่างหนุ่มสาวที่จะช่วยให้ก้าวหน้าในความรักที่แท้จริงนั้น ก็ควรจะประกอบด้วย 3 ข้อด้วยกัน ดังนี้

1. ให้รู้จักกันทั้งในด้านดี ในด้านเสีย และข้อผิดพลาดซึ่งต่างก็มีอยู่ และยอมรับซึ่งกันและกันในข้อเหล่านั้น
2. ให้เคารพและเห็นใจกัน โดยเสียสละต่อกันเพื่อให้คนรักของตนได้รับความดี และความสุขใจในทางที่บริสุทธิ์งดงาม
3. ให้มีการปรับปรุง และเปลี่ยนนิสัยของตนในส่วนที่บกพร่อง เพื่อจะอยู่กันด้วยความสุขในอนาคต

ลักษณะทั้งสามดังกล่าวนี้ คงจะเป็นประโยชน์สำหรับหนุ่มสาวไทยไม่เฉพาะ ในวันวาเลนไทน์หรือสำหรับกลุ่มที่นิยมประเพณีต่างประเทศเท่านั้น แต่สำหรับทุกคู่ที่แสวงหาวิธีการเพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกันอัน จะนำไปสู่ความรักที่มั่นคงและยั่งยืนชั่วชีวิต


.. คิวปิด ..


คนทั่วไปรู้จัก คิวปิด ในภาพของเด็กน่ารักที่มีปีก มือถือคันธนูกับลูกศรและมีชื่อเสียงในเรื่องการยิงศรรักปักหัวใจของใครต่อใคร ศรรักของ คิวปิด หมายถึงความปรารถนาและอารมณ์แห่งความรัก คิวปิด จะเล็งลูกศรไปที่พระเจ้าและมนุษย์เพื่อทำให้พระเจ้ากับมนุษย์รักกัน
คิวปิดมักจะมีบทบาทในการเฉลิมฉลองความรัก ในกรีกโบราณ คิวปิด เป็นที่รู้จักกันในชื่อว่า เอโรส ลูกชาย แอฟโพไดท์ เทพธิดาแห่งความรักและความสวยงามแต่สำหรับพวกโรมัน เขาคือ คิวปิด และแม่ของเขาคือ วีนัส

มีเรื่องน่าสนใจพอสมควรเกี่ยวกับ คิวปิด และ ไซคี เจ้าสาวของเขาในเทพนิยายโรมัน ผมขอแนะนำผู้อ่านให้รู้จักคู่รักของ คิวปิด สักนิดนะครับว่าเธอเป็นเทพธิดารูปงามในนิยายกรีกโบราณมีปีกเป็นผีเสื้อ และเพราะความงามนี้เองที่ทำให้ วีนัส อิจฉา นางจึงได้สั่ง คิวปิด ให้ลงโทษว่าที่ลูกสะใภ้เสีย แต่ คิวปิด ตกหลุมรักเธอเกินกว่าที่จะทำตามความต้องการของแม่ ดังนั้น แทนที่จะลงโทษเธอ คิวปิด กลับเอาเธอเป็นภรรยาเสียเลย แต่เนื่องจาก ไซคี มิได้เป็นอมตะ เธอจึงถูกห้ามมิให้มองเขา (ตรงนี้ผมไม่ทร าบเหมือนกันนะครับว่าเป็นไปได้อย่างไรที่ได้เธอเป็นภรรยาแล้วภรรยามองไม่ได้ แต่อย่าไปคิดอะไรมากนะครับ เพราะเทพนิยายฝรั่งก็ไม่แตกต่างอะไรไปจากละครน้ำเน่าบ้านเรา)

หลังจากตกเป็นภรรยาของ คิวปิด แล้ว ไซคี ก็มีความสุขเรื่อยมา (ก็แหงละ) จนกระทั่งพี่สาวของเธอได้รบเร้าให้เธอมอง คิวปิด ทันทีที่เธอมอง คิวปิด คิวปิด ก็ลงโทษเธอด้วยการทิ้งเธอไปทันที พร้อมกันนั้นปราสาทและสวนอันสวยงามของเธอก็ต้องมลายหายไปด้วย หลังจากนั้นไซคี ก็พบว่าตัวเองอยู่ตามลำพังในทุ่งโล่งแห่งหนึ่งซึ่งไม่มีร่องรอยของสิ่งมีชีวิตอื่นๆหรือ คิวปิด ปรากฏให้เห็นเลย

ในขณะที่เธอออกเดินทางค้นหาคนรักของเธอนั้น เธอก็มาถึงวิหารของ วีนัส โดยบังเอิญ เมื่อ วีนัส เทพธิดาแห่งความรักพบว่า ไซคี ยังมีชีวิตอยู่ เธอก็ปราถนาที่จะ ทำลาย ไซคี ด้วยการให้งานที่หนักและอันตรายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ งานสุดท้ายที่ ไซคี ได้รับมิใช่งานขับเครื่องบินชนตึกเวิร์ลเทรดครับ หากแต่เธอได้รับกล่องใบหนึ่งมาและได้ถูกสั่งให้ลงไปยังใต้โลกเพื่อเอา ความงามของ โพรเซอร์พีน ภรรยาของ พลูโต ใส่กล่องใบนี้มา ในระหว่างที่เธอเดินทางอยู่นั้น เธอก็ได้รับคำแนะนำให้รู้จักการหลีกเลี่ยงอันตรายจากอาณาจักรแห่งความตาย นอกจากนั้นแล้ว เธอยังได้ถูกเตือนมิให้เปิดกล่องใบนั้นอีกด้วย แต่เพราะทนไม่ไหวหรือเพราะความอยากรู้อยากเห็นหรืออะไรก็ไม่ทราบ เธอได้เปิดกล่องใบนั้น แต่แทนที่จะพบกับความงาม เธอกลับต้องหลับเป็นตาย

ต่อมา คิวปิด ได้มาพบร่างอันไร้ชีวิตของเธอบนพื้นดิน เขาจึงได้นำเอาอาการหลับเป็นตายออกจากร่างของเธอและนำมันไปเก็บไว้ในกล่อง หลังจากนั้น คิวปิด ก็ได้ให้อภัยเธอเช่นเดียวกับ วีนัส เมื่อเทพเจ้าทั้งหลายเห็นความรักที่เธอมีต่อ คิวปิด จึงได้ตั้งให้เธอเป็นเทพธิดาองค์หนึ่ง

ปัจจุบันนี้รูป คิวปิด แผลงศรเป็นสัญลักษณ์แห่งความรักที่ผู้คนมักนิยมใช้กัน และเมื่อศรรักของ คิวปิด พุ่งโดนหัวใจหนุ่มสาวคนใดในวันวาเลนไทน์ หนุ่มสาวคนนั้นก็จะออกอาการ "สติวปิ้ด" จากศรรักของ คิวปิด ขึ้นมาทันที อาการนี้จะเห็นได้จากการส่งดอกกุหลาบสีแดง ส่งช็อคโกแล็ต การส่งบัตรอวยพรและอื่นๆ